มีคนที่เรียนจบทางสายฝรั่งเศสอีกหลายคน ที่กำลังมีความคิดว่าจะไปเรียนต่อ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องหาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศสหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องการเดินทาง ที่พักอาศัย หรือแหล่งท่องเที่ยว ไม่เว้นแม้แต่วัฒนธรรมหรือประเพณีต่าง ๆ ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศในฝันของหลายๆ คน เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงาม สุดโรแมนติก อาหารก็อร่อย เป็นเมืองแห่งน้ำหอม และมีกลิ่นอายของการเล่นกีฬาฟุตบอล และรักบี้ที่เป็นแชมป์โลกหลายครั้ง ซึ่งในแต่ละประเทศย่อมมีวัฒนธรรมที่แตกต่าง การเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส ก็ต้องเรียนรู้และปฏิบัติตามวัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ ด้วย ก่อนเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศฝรั่งเศส คุณควรจะเรียนรู้อะไรบ้างจากวัฒนธรรมเหล่านั้น??? ยังมีเรื่องน่ารู้จากประเทศฝรั่งเศสอีกมากมายที่หลายคนอาจยังไม่ทราบ??
ฝรั่งเศสไม่นิยมการให้ทิป
ใครที่คิดจะไปเรียนที่ฝรั่งเศสและทำงานพิเศษโดยหวังจะได้ทิปเยอะๆ ขอบอกว่าเป็นเรื่องยากมากมาย เพราะที่ฝรั่งเศสไม่นิยมให้ทิปกัน (บางคนมองว่าเป็นเรื่องแปลก ) เพราะค่าบริการต่างๆ ถูกรวมไว้ในบิลแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้ทิปเพิ่ม แต่หากสมมุติว่าพนักงานบริการดีมากก็อาจจะได้ทิปเล็กๆ น้อยๆ ซัก 1-2 ยูโรได้ ที่สำคัญคือคนฝรั่งเศสจะชำระค่าบริการทุกอย่างด้วยบัตรเครดิตแทบจะทั้งหมดแม้ว่าจะเล็กๆน้อยเพียง 5 ยูโรก็ตาม ผู้เขียนเคยมีเพื่อนชำระเงินสดประมาณ 20 ยูโร แล้วคนขายทำงงๆ การจ่ายเป็นเงินสดผู้ขายหลายคนอาจจะมองคุณในแง่ลบได้ เพราะเงินสดมักจะไม่มีที่มาที่ไปของเงิน (คิดว่ามาจากเงินที่ทำผิดกฎหมาย อะไรทำนองนี้) ดังนั้น ก่อนการเดินทางไปฝรั่งเศส พยายามที่จะพกบัตรเครดิตติดตัวไว้บ้างก็ดี
ร้านขายยาที่ขายเฉพาะ “ยา”
ร้านขายยาในปัจจุบัน นอก จากจะขายยาแล้ว แทบทุกร้านจะมีขายเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง มาสคาร่า หรือของใช้อื่น ๆ ที่ สารพัดจะหามาขาย แต่ร้านขายยาในฝรั่งเศสจะขายเฉพาะ “ยา” เท่านั้น เคยมีการสำรวจพบว่าคนฝรั่งเศสเป็นชาติที่เสียเงินใช้จ่ายในการซื้อยามากที่สุดในยุโรป ซึ่งร้านขายยานั้นสามารถหาได้ง่ายตามมุมถนนทั่วไป เพราะคนฝรั่งเศสจะจริงจังเรื่องสุขภาพและการใช้ยามาก ที่จะเห็นได้บ่อยมากๆคือ การเจ็บป่วยแล้วเดินเข้าโรงพยาบาลนั้น บางครั้งคุณอาจจะไม่ได้รับการรักษา (อ้าว) คุณอาจจะหงายเงิบได้หากว่าคุณป่วย แล้วเจ้าหน้าที่เคาเตอร์ตอบคุณกลับมาว่า ถ้าคุณไม่ได้นัดไว้ก็เชิญกลับบ้าน (แล้วกรูจะรู้ได้ไงฟระ ว่าต้องป่วยเมื่อไหร่) อีกทั้งการรักษาในโรงพยาบาลนั้น ค่าใช้จ่ายสูงมาก เพื่อนของผมบางคน ยอมทนเจ็บ ทนป่วย เพื่อบินกลับมารักษาเมืองไทยดีกว่า ดังนั้น คนฝรั่งเศส เป็นอะไรนิดๆหน่อย ต้องพึ่งร้านขายยาไว้ก่อนนั่นเอง
จริงจังเรื่องสุขภาพ
องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยจัดอันดับให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีระบบดูแลสุขภาพประชาชนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก โดยวัดได้จากการที่ฝรั่งเศสมีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคร้ายที่ต่ำมาก เพราะทุกคนมีประกันสุขภาพ ที่จะจ่ายทดแทนให้ได้หมดแทบไม่มีข้อยกเว้น เรียกว่าป่วยเมื่อไหร่ประกันจ่ายให้หมด 100% แม้แต่ชาวต่างชาติที่เข้าไปในอาศัยในประเทศฝรั่งเศสก็ต้องมีประกันสุขภาพด้วย โดยราคาของประกันสุขภาพอยู่ที่ประมาณ 200-500 ยูโรหรือประมาณ 8,000-20,000 บาทต่อปี
ภาษีโทรทัศน์
ที่ประเทศฝรั่งเศสใครมีโทรทัศน์ ต้องเสียภาษีโทรทัศน์ด้วย เพราะภาษีเหล่านี้ทางรัฐบาลจะนำไปปรับปรุงรายการโทรทัศน์ให้มีคุณภาพมากขึ้น และมีโฆษณาคั่นรายการน้อยมาก เพราะรัฐบาลฝรั่งเศสไม่ต้องการให้ประชาชนถูกโฆษณาเหล่านั้นมอมเมา ( รายการทีวีของฝรั่งเศสไม่มีรายได้จากโฆษณา จึงต้องเก็บเป็นภาษีแทน)
การเมืองในฝรั่งเศสค่อนข้างแรง
เนื่องจากคนฝรั่งเศสมีพื้นเพอุปนิสัยรัก และชอบที่จะวิจารณ์ คนอื่น รวมถึงเรื่องต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา หลายต่อหลายครั้งก็ทิ่มกลับเหตุผลที่ทำให้เราได้หงายเงิบกันไปหลายครั้ง แต่นี่คืออุปนิสัยของชาวฝรั่งเศส ดังนั้น เรื่องการเมืองก็ไม่แพ้กัน จึงทำให้มีการแบ่งพรรคการเมืองออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน อีกทั้งหนังสือพิมพ์จะวิจารณ์อย่างรุนแรง และมีการแบ่งอย่างชัดเจนด้วยคำว่า ขวา หรือ ซ้าย ดังนั้น เรื่องของการเมืองเป็นเรื่องที่ควรจะหลีกเลี่ยง เวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆหลายๆคน เพราะเดี๋ยวมันจะทำให้กลายเป็นเรื่องชวนทะเลาะกันซะเปล่าๆ
ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า
คุณอาจคุ้นเคยกับประโยคที่ว่า The customer is always right. คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังไงลูกค้าก็คือพระเจ้าและถูกอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่ที่ฝรั่งเศสแน่นอน ว่ากันว่าวิถีการให้บริการของคนที่นั่นค่อนข้างแข็งๆ ทื่อๆ และไม่ค่อยแคร์ลูกค้า บางร้าน ค้าในฝรั่งเศส เวลาในการเปิดบริการขึ้นอยู่กับอารมณ์คนขาย (แหม อันนี้บางทีก็เหมือนอารมณ์คนไทยเหมือนกันนะเนี่ย) เมื่อเป็นแบบนี้จะเห็นบ่อยมากเมื่อเราคุยภาษาอังกฤษกับคนขาย สิ่งที่ตอบกลับมาคือเค้าจะตอบกลับด้วยภาษาฝรั่งเศส แม้ว่าเค้าจะพูดได้ แต่ประมาณว่า ก็ฉันไม่พูดน่ะ ใครจะทำไม ไม่พอใจก็ไปร้านอื่นดิ และเชื่อไหมว่า เป็นกันอย่างนี้แทบจะทุกร้านจริงๆ ร้านที่จะบริการดีหน่อยคือร้านที่เป็นเอเชียอย่างร้านอาหารจีน ญี่ปุ่น หรือไม่ก็อาหารเวียดนาม ที่เดินเข้าไปแล้วจะรู้สึกสบายใจ ไม่ต้องเกร็งว่าจะโดนตะเพิดออกมาหรือไม่นั่นเอง
เจ้าแห่งรางวัลโนเบล
ชาวฝรั่งเศสเป็นชาติที่โรแมนติก ทำให้ที่นี่จึงเป็นบ้านเกิดของกวีและนักเขียนชื่อดังมากมาย และประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาวรรณกรรมมากที่สุดของโลกด้วย นักเขียนที่เคยได้รับรางวัลนี้ก็เช่น J. M. G. Le Clézio หรือ ฌ็อง มารี กุสตาฟว์ เลอ เกลซีโย เป็นนักเขียนและนักเดินทางรอบโลกชาวฝรั่งเศส ซึ่งมีผลงานเขียนกว่า 40 เรื่อง จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมเมื่อปี 2008 ที่ผ่านมา
French Greetings
วิธีการทักทายของชาวฝรั่งเศสก็เป็นอย่างหนึ่งที่หลายคนอาจรู้สึกไม่ชิน นอกจากการจับมือแล้ว การนำแก้มมาแตะกันด้วยแก้มทั้งสองข้างก็เป็นทักทายเช่นกัน หากเป็นเพื่อนสนิทจะแตะแก้มกันสามครั้งขึ้นไปขึ้นอยู่กับธรรมเนียมของแคว้นนั้นๆ เราจะเรียกลักษณะการทักทายแบบนี้ว่า บีซู ข้อระวังที่มักจะเข้าใจผิดกันได้บ่อยๆคือ ไม่ใช่การจุ๊บกันนะ และที่สำคัญคือ ถ้าเค้าเป็นฝ่ายหญิง และเราเป็นฝ่ายชาย โดยที่ฝ่ายหญิงเค้าไม่ยื่นแก้มมาก่อน เราอย่าไปพยายามทำนะ ไม่งั้นสามีเค้าอาจจะมองว่าเราชีกอได้ (การทักทายแบบนี้เราจะไม่เรียกว่า French Kiss) สำหรับ French Kiss นั้นออกแนวติดเรทเลยไม่ได้ลงรายละเอียด ไปเปิดดูเว็บอื่นๆเอาเองแล้วกันนะจ๊ะ
French cuisine
ชาวฝรั่งเศสกินอาหารแบบเรียงตามลำดับหรือคอร์ส โดยจบไปทีละคอร์ส ปกติทั่วไปจะมี 3 คอร์สคือ entré, plate principal และ cheese course หรือ dessert ถ้าเสิร์ฟแบบเต็มยศก็เพิ่มอีกสามเป็น 6 คอร์สโดยเริ่มจาก aperitif หรือออร์เดิร์ฟ แล้วเป็น entré ซึ่งมักจะเป็นซุป แล้วตามด้วยอาหารจานหลักที่เป็นเนื้อสัตว์ ต่อด้วยสลัดแล้วตามด้วยเนยแข็งสารพัดชนิด มาปิดท้ายด้วยของหวานหรือผลไม้พร้อมกับกาแฟ ส่วนขนมปัง ไวน์ และน้ำแร่จะมีเสิร์ฟตลอดเวลาที่รับประทานอาหาร
French etiquette at meals
คนฝรั่งเศสใช้มีดและส้อมในการกินอาหารเกือบทุกอย่าง โดยถือมีดด้วยมือขวา และมือซ้ายถือส้อม ไม่มีการเปลี่ยนมือไปมาเหมือนคนอเมริกัน ที่สำคัญจะต้องวางมือไว้บนโต๊ะ ไม่วางไว้บนหน้าตัก
เรื่องน่ารู้สนุกๆ จากฝรั่งเศส ที่นำมาฝากกันหวังว่าคงจะถูกใจ และเป็นประโยชน์กันบ้าง หากใครจะไปเที่ยวหรือไปเรียนที่ประเทศฝรั่งเศส ก็ลองศึกษาข้อมูลดูให้ดี เพราะแต่ละเมืองอาจจะมีวัฒนธรรมที่ต่างกันก็ได้