นี่เป็นคำถามสำคัญของนักเรียนหลายคนว่าให้ช่วยอธิบายวิธีคำนวณ band score สุดท้ายผมจึงตัดสินใจพยายามสรุปใจความสำคัญสิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับกระบวนการให้คะแนน และนี่คือกระบวนการให้คะแนนที่ผมเข้าใจ เมื่อข้อสอบ Writing Task 1 ของคุณถูกให้คะแนน (ในที่นี่ผมพูดถึงการสอบ IELTS ประเภท Academic) คุณสามารถได้ (หรือเสีย) คะแนนด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้:
ทำตามคำสั่งของ Task ครบถ้วนหรือไม่
นี่หมายความว่าการเขียนรายงานจะแสดงให้ว่า นักเรียนคนนี้เข้าใจสิ่งที่เขาต้องทำหรือสิ่งที่เราสั่งให้ทำหรือไม่
การนำเสนอข้อมูลโดยรวม
การอธิบายสิ่งที่กราฟแสดงให้เห็นโดยปราศจากการพูดซ้ำหัวข้อคำสั่ง (และเขียนด้วยภาษาของตัวคุณเอง) ถ้าคุณไม่เขียนข้อมูลโดยรวมหรือลอกคำสั่งมาทั้งหมดคุณจะได้คะแนนทันที
การนำเสนอใจความสำคัญ
เกือบทุกกราฟจะมีจุดเด่นที่น่าสังเกตมากที่สุด ให้เขียนเกี่ยวกับจุดเด่นของกราฟนั้น
การจัดระเบียบข้อมูล
นี่เป็นเรื่องของการเขียนย่อหน้าที่คุณควรเขียนให้มีระเบียบถูกต้องตามหลักการ
การราบรื่นของบทความ
ในขณะที่กรรมการอ่านรายงานของคุณ เขา/เธอต้องการเห็นการเคลื่อนที่ของประโยคในบทความจากสิ่งหนึ่งไปยังอีกสิ่งหนึ่งว่ามีความราบรื่นอย่างไร
ความเชื่อมโยง ข้อมูลอ้างอิง และการแทนที่
นี่เป็นวิธีที่คุณต้องทำเพื่อนำเสนอสถิติ หากคุณเขียนซ้ำประโยคเดิมเพื่อกล่าวถึงตัวเลขในสถิติทั้งหมดหรือเลือกเขียนสำนวนแปลกแหวกแนวออกไป คุณจะได้คะแนนจากตรงนี้
จำนวนคำศัพท์
จำนวนคำศัพท์ของคุณทำให้คุณได้คะแนน ไม่ว่าธรรมดาทั่วไปหรือมีจำนวนมากก็ตาม นั่นยังหมายถึงว่าคำศัพท์ของคุณมีมากพอในการเขียนหรือไม่ (ถ้ารู้คำศัพท์ไม่มากแต่มากพอที่จะเขียนรายงานได้อย่างเข้าใจชัดเจน คุณก็ได้คะแนนอย่างแน่นอน) อีกทั้งจะต้องมีการควบคุมโครงสร้างทางไวยากรณ์ การสะกดคำ และการเลือกคำให้เหมาะสม ซึ่งตรงจุดนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบาย
ข้อสอบ Writing ของ IELTS Task 2
ผมพูดสิ่งนี้หลายครั้งแล้วและจะพูดซ้ำอีกสักครั้ง “การเขียนบทความที่ดีใน IELTS คุณต้องเข้าไปอยู่ในหัวของกรรมการ” คุณต้องเข้าใจว่าอะไรทำให้คุณได้หรือเสียคะแนน เพราะเมื่อคุณทำแล้วคุณไม่ควรทำผิด สิ่งที่ผมกำลังจะเปิดเผยให้เห็นตรงนี้สามารถหาได้จากเวบไซต์ทางการของ IELTS แต่ผมจะอธิบายในภาษาที่เข้าใจง่าย
นี่คือหลักการที่กรรมการให้คะแนนบทความของคุณ คุณได้คะแนนสำหรับการตอบคำถาม เรื่องการเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ต่อเนื่อง คลังคำศัพท์ โครงสร้างไวยากรณ์ และความถูกต้องแม่นยำ ฟังดูยากลำบากใช่ไหม อย่าเพิ่งท้อเพราะนี่คือเวอร์ชั่นที่อธิบายให้เข้าใจง่าย:
“Task reponse” หมายถึงว่าบทความของคุณแสดงว่าคุณเข้าใจและครอบคลุมหัวข้อจากทุกด้าน ทุกแง่มุม และอื่นๆอีกมากมาย เรามาลองดูตัวอย่างหัวข้อนี้กัน – “Internet: connecting or isolating people?” คนที่เสียคะแนนคือคนที่เลือกเขียนหัวข้อเกี่ยวกับอินเตอร์เนตแบ่งแยกคนเราอย่างไรเพียงอย่างเดียว แต่คนที่ได้คะแนนคือคนที่เขียนทั้งการเปรียบเทียบและความแตกต่างระหว่างทั้งสองด้านของอินเตอร์เนตและให้ข้อโต้แย้งที่สมเหตุสมผล
“Coherence and Cohesion” หมายถึงว่าคุณสามารถเชื่อมต่อย่อหน้าและประโยคต่างๆภายในย่อหน้าได้ดีมากแค่ไหน คุณต้องรู้ว่าทุกย่อหน้าของบทความต้องเชื่อมโยงกันอย่างมีหลักการ ตัวอย่างเช่น ถ้าย่อหน้าที่หนึ่งอธิบายข้อได้เปรียบของอินเตอร์เนต และย่อหน้าที่สองอธิบายข้อเสียเปรียบ ฉะนั้นประโยคสุดท้ายของย่อหน้าที่หนึ่งควรจะพูดว่า “In spite of Internet being such a help in communication, its drawbacks can not be overlooked” ประโยคนี้แสดงให้เห็นถึงถึงการเชื่อมต่อกันระหว่างย่อหน้าที่หนึ่งและสอง ถ้าคุณไม่มีประโยคนั้นแล้วหล่ะก็ กรรมการอาจคิดได้ว่าคุณกระโดดข้ามจากข้อดีไปยังข้อเสียโดยไม่มีเหตุผล ประโยคในย่อหน้าก็เช่นเดียวกันควรมีการเชื่อมโยงที่ดี ทุกประโยคควรนำพามูลเหตุไปสู่อีกประโยคหนึ่ง
“Lexical Resource” หมายความว่าการเลือกใช้คำศัพท์และประเภทของประโยคที่มีความหลากหลาย ทั้งประโยคพื้นฐานและซับซ้อน คุณควรสามารถที่จะใช้คำศัพท์และคำที่มีความหมายเหมือนกันได้ด้วย
“Grammatical Range and Accuracy” หมายถึงการสะกดคำและความถูกต้องแม่นยำของหลักไวยากรณ์ คุณควรสะกดคำให้ถูกต้อง อย่าลืมใช้คำนำหน้านาม Article “a/an” and “the” เครื่องหมายวรรคตอนก็สำคัญเช่นกัน และสิ่งอื่นๆด้วย คุณพอนึกภาพออกใช่ไหม
สิ่งสำคัญอีกสิ่งที่คุณต้องรู้คือ หลักการที่ใช้ตัดสินคะแนนทั้งสี่ข้อมีน้ำหนักเท่ากัน นั่นหมายความว่าถ้าคุณลืมเรื่อง “Coherence and Cohesion” ในบทความของคุณแล้วหล่ะก็ คุณจะถูกหักคะแนนไป ¼ ของคำแนนทั้งหมด
Credit : ielts-blog.com